สนาม: ไชน่าเน็ต
บทนำ: บิ๊กตู่ ลั่นเอาจริง ขรกทุจริต ประวิตร ยัน คสชเข้ามาปราบคอร์รัปชันไม่ทำผิดเอง เลขาฯ ปปท แย้ม 3 เมยเปิดชื่อ บิ๊ก พม อยู่เบื้องหลังโกงเงินคนจน ชี้พบหลักฐานมัดเอาผิดทั้งอาญา-วินัย รมวศธ ไม่เชื่อ รจนา ทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ คนเดียว สั่งขยายผลเพิ่มหลังพบปี 48 มีเงินโอนเข้าบัญชีตำรวจยศ รตตและวัดแบบผิดปกติ เมื่อวันที่ 2 เมย พลอประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) กล่าวถึงกรณีมีเรื่องร้องเรียนการทุจริตโครงการรัฐหลายโครงการว่า ทุกอย่างมีกฎหมาย ถ้าทำกันจริงจังมากขึ้นจะดีขึ้นเอง ไม่มีอะไรที่จะแก้ไขได้ 100% ในทันที การสอบสวนมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงว่าเรื่องที่ร้องเรียนมาเป็นจริงหรือไม่ จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีกรอบหนึ่งเพื่อนำไปสู่กระบวนการปลด ไล่ออก โทษทางวินัย หรือแม้แต่การฟ้องศาลในคดีอาญา ขั้นตอนเป็นอย่างนี้ก็ขอให้ระมัดระวังในการสื่อข่าวหรือการรับรู้รับทราบจากทางโซเชียลมีเดีย การปกครองข้าราชการที่มีอยู่จำนวนมากไม่ง่าย แต่ขอให้ข้าราชการทำดีต่อไป ส่วนคนไม่ดียืนยันจะลงโทษหมดด้วยกระบวนการยุติธรรม ผ่านการตรวจสอบ สอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง ซึ่งประชาชนอาจยังไม่เข้าใจและใช้การตัดสินโดยโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่ทำให้การบริหารราชการยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง ถ้าจริงก็แก้ไข ถ้าไม่จริงก็ออกมาชี้แจง และขอให้ทุกคนดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีความเป็นข้าราชการ เพื่อสร้างสังคมที่มีความสามัคคีปรองดอง นายกฯ กล่าว ขณะที่ พลอประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยทำโพลสำรวจ พบการทุจริตคอร์รัปชัน 3 ปียุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) สูงสุดว่า คสชเป็นผู้ตรวจสอบ เจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายทุจริตในช่วงที่ผ่านมาย้อนหลังหลายปี ไม่ใช่ว่า คสชคอร์รัปชัน พอหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสชแถลงผลการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มี พลอเฉลิมชัย สิทธิสาท เลขาธิการ คสชเป็นประธานว่า การปราบปรามการทุจริต เป็นสิ่งที่ คสชดำเนินการมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เพราะตระหนักดีว่าการทุจริตคอร์รัปชันส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน ล่าสุดได้เสนอมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในระบบราชการเพื่อเสริมการทำงานในเรื่องดังกล่าวให้รัฐบาล ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น เลขาฯ คสชสั่งการให้ทุกส่วนงานให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในระบบราชการดังกล่าว พร้อมนำไปดำเนินการในทุกมิติให้เกิดเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยด่วน รองโฆษก คสชกล่าว ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท) พทกรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการ ปปทกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตเงินศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งว่า ในวันที่ 3 เมยนี้จะทราบถึงตัวตนบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตเงินศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในระดับที่สูงกว่า ผู้อำนวยการศูนย์ฯ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ปปทตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ร่วมตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง) จนได้ข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนถึงเส้นทางการทุจริต แม้จะมีการจ่ายเงินในรูปแบบของเงินสดก็ตาม ขั้นตอนหลังพบหลักฐานที่โยงถึงตัวผู้ทุจริตในระดับสูงกว่าผู้อำนวยการศูนย์ฯ จะเอาผิดทางอาญาโดยการส่งสำนวนการตรวจสอบให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปชเพื่อไต่สวนต่อ เนื่องจากเกินอำนาจของ ปปท รวมถึงการเสนอเรื่องให้ต้นสังกัดพิจารณาความผิดทางวินัยควบคู่ด้วย พทกรทิพย์กล่าว เลขาฯ ปปทกล่าวว่า นอกจากนี้ในวันที่ 3 เมยจะมีการรายงานผลการตรวจสอบการทุจริตศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 37 แห่ง ซึ่งเป็นการตรวจสอบเร่งด่วนของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณเกิน 1 ล้านบาท ในส่วนการตรวจสอบทุจริตศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง นิคมสร้างตนเอง ศูนย์ประสานงานสหกรณ์ ภายใต้สังกัดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม) จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 พคนี้ เลขาฯ ปปทกล่าว ส่วนนางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส) กล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่วันที่ 31 มีคตนได้ลงนามสั่งพักราชการข้าราชการในสังกัด ให้ขาดจากเงินเดือนและสวัสดิการแล้ว 5 คน คือ ผอศูนย์คนไร้ที่พึ่ง จขอนแก่น และหัวหน้าฝ่ายสวัสดิการของศูนย์ฯ ขอนแก่น 2 คน ผอศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จเชียงใหม่ 1 คน และศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จเชียงใหม่ 2 คน ทั้งนี้เป็นข้าราชการสังกัด พส 3 คน และข้าราชการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง พม 1 คน และข้าราชการสังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก) 1 คน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมยเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงเพิ่ม 9 แห่ง รวมทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงอีก 28 แห่ง วันเดียวกัน นพธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมวศธ) กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตว่า ขณะนี้คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงที่มีนายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการ ศธเป็นประธาน ยังไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร แต่ตนยังไม่ปักใจเชื่อ จึงยังไม่เลิกละความพยายามที่จะให้สืบสวนต่อไป ภายในสัปดาห์นี้ถ้ามีพยานหลักฐานว่ามีมูลความผิด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่เหลือจะถูกย้ายออกจากตำแหน่งก่อน ตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระบบราชการของ คสช ขณะที่ผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการโกง แต่มีส่วนรับผิดชอบทางการเงินการคลังและปล่อยให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ถือว่ามีส่วนบกพร่องทางวินัย จะร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงขึ้นอยู่กับผลการสืบ โดยคณะกรรมการสืบฯ จะสรุปผลการสืบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นก่อนสงกรานต์นี้ เพื่อนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยให้เสร็จสิ้นภายในเดือน เมย นพธีระเกียรติกล่าว ด้านนายอรรถพลกล่าวว่า ในวันที่ 5 เมย คณะกรรมการสืบฯ จะเชิญนางรจนา สินที อดีตข้าราชการระดับ 8 ศธซึ่งออกจากราชการไปแล้วมาให้ปากคำ เพราะพบประเด็นเพิ่มเติมจากการตรวจสอบตั้งแต่ตั้งกองทุน พบปี 2547 มีความผิดปกติ 1 รายการ แต่ปี 2548 ความผิดปกติเริ่มชัดและค่อนข้างเยอะ เพราะมีการโอนเงินเข้าบัญชีของนางรจนาเอง รวมทั้งยังมีการโอนให้นายตำรวจยศ รตต และยังโอนให้วัดและบุคคลที่มีคำนำหน้าว่านาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะผิดวัตถุประสงค์ของกองทุน เฉพาะในปี 2548 มีการทุจริตจำนวนกว่า 29 ล้านบาท ส่วนยอดรวมอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ปี 2547-2561 เป็นเงิน 110,343,227 บาท และมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นทั้งคนเสนอเรื่อง ผ่านเรื่อง อนุมัติ และสุดท้ายคือขั้นตอนการจ่าย ซึ่งนอกจากนางรจนาแล้วก็มี ผอสำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา ฝ่ายการเงินการคลัง รองปลัด ศธ และปลัด ศธ แต่ต้องดูว่าเกี่ยวข้องในฐานะใด และจะพิจารณามูลความผิดตามฐานที่กฎหมายกำหนดว่าใครทุจริต ใครประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่สรุปว่าใครผิดใครถูกจนกว่าข้อมูลจะนิ่ง ผู้ตรวจราชการ ศธระบุ...
สนาม: เครือข่าวภาคอีสาน
บทนำ: บิ๊กตู่ ลั่นเอาจริง ขรกทุจริต ประวิตร ยัน คสชเข้ามาปราบคอร์รัปชันไม่ทำผิดเอง เลขาฯ ปปท แย้ม 3 เมยเปิดชื่อ บิ๊ก พม อยู่เบื้องหลังโกงเงินคนจน ชี้พบหลักฐานมัดเอาผิดทั้งอาญา-วินัย รมวศธ ไม่เชื่อ รจนา ทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ คนเดียว สั่งขยายผลเพิ่มหลังพบปี 48 มีเงินโอนเข้าบัญชีตำรวจยศ รตตและวัดแบบผิดปกติ เมื่อวันที่ 2 เมย พลอประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) กล่าวถึงกรณีมีเรื่องร้องเรียนการทุจริตโครงการรัฐหลายโครงการว่า ทุกอย่างมีกฎหมาย ถ้าทำกันจริงจังมากขึ้นจะดีขึ้นเอง ไม่มีอะไรที่จะแก้ไขได้ 100% ในทันที การสอบสวนมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงว่าเรื่องที่ร้องเรียนมาเป็นจริงหรือไม่ จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีกรอบหนึ่งเพื่อนำไปสู่กระบวนการปลด ไล่ออก โทษทางวินัย หรือแม้แต่การฟ้องศาลในคดีอาญา ขั้นตอนเป็นอย่างนี้ก็ขอให้ระมัดระวังในการสื่อข่าวหรือการรับรู้รับทราบจากทางโซเชียลมีเดีย การปกครองข้าราชการที่มีอยู่จำนวนมากไม่ง่าย แต่ขอให้ข้าราชการทำดีต่อไป ส่วนคนไม่ดียืนยันจะลงโทษหมดด้วยกระบวนการยุติธรรม ผ่านการตรวจสอบ สอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง ซึ่งประชาชนอาจยังไม่เข้าใจและใช้การตัดสินโดยโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่ทำให้การบริหารราชการยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง ถ้าจริงก็แก้ไข ถ้าไม่จริงก็ออกมาชี้แจง และขอให้ทุกคนดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีความเป็นข้าราชการ เพื่อสร้างสังคมที่มีความสามัคคีปรองดอง นายกฯ กล่าว ขณะที่ พลอประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยทำโพลสำรวจ พบการทุจริตคอร์รัปชัน 3 ปียุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) สูงสุดว่า คสชเป็นผู้ตรวจสอบ เจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายทุจริตในช่วงที่ผ่านมาย้อนหลังหลายปี ไม่ใช่ว่า คสชคอร์รัปชัน พอหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสชแถลงผลการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มี พลอเฉลิมชัย สิทธิสาท เลขาธิการ คสชเป็นประธานว่า การปราบปรามการทุจริต เป็นสิ่งที่ คสชดำเนินการมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เพราะตระหนักดีว่าการทุจริตคอร์รัปชันส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน ล่าสุดได้เสนอมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในระบบราชการเพื่อเสริมการทำงานในเรื่องดังกล่าวให้รัฐบาล ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น เลขาฯ คสชสั่งการให้ทุกส่วนงานให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในระบบราชการดังกล่าว พร้อมนำไปดำเนินการในทุกมิติให้เกิดเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยด่วน รองโฆษก คสชกล่าว ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท) พทกรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการ ปปทกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตเงินศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งว่า ในวันที่ 3 เมยนี้จะทราบถึงตัวตนบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตเงินศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในระดับที่สูงกว่า ผู้อำนวยการศูนย์ฯ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ปปทตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ร่วมตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง) จนได้ข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนถึงเส้นทางการทุจริต แม้จะมีการจ่ายเงินในรูปแบบของเงินสดก็ตาม ขั้นตอนหลังพบหลักฐานที่โยงถึงตัวผู้ทุจริตในระดับสูงกว่าผู้อำนวยการศูนย์ฯ จะเอาผิดทางอาญาโดยการส่งสำนวนการตรวจสอบให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปชเพื่อไต่สวนต่อ เนื่องจากเกินอำนาจของ ปปท รวมถึงการเสนอเรื่องให้ต้นสังกัดพิจารณาความผิดทางวินัยควบคู่ด้วย พทกรทิพย์กล่าว เลขาฯ ปปทกล่าวว่า นอกจากนี้ในวันที่ 3 เมยจะมีการรายงานผลการตรวจสอบการทุจริตศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 37 แห่ง ซึ่งเป็นการตรวจสอบเร่งด่วนของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณเกิน 1 ล้านบาท ในส่วนการตรวจสอบทุจริตศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง นิคมสร้างตนเอง ศูนย์ประสานงานสหกรณ์ ภายใต้สังกัดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม) จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 พคนี้ เลขาฯ ปปทกล่าว ส่วนนางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส) กล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่วันที่ 31 มีคตนได้ลงนามสั่งพักราชการข้าราชการในสังกัด ให้ขาดจากเงินเดือนและสวัสดิการแล้ว 5 คน คือ ผอศูนย์คนไร้ที่พึ่ง จขอนแก่น และหัวหน้าฝ่ายสวัสดิการของศูนย์ฯ ขอนแก่น 2 คน ผอศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จเชียงใหม่ 1 คน และศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จเชียงใหม่ 2 คน ทั้งนี้เป็นข้าราชการสังกัด พส 3 คน และข้าราชการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง พม 1 คน และข้าราชการสังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก) 1 คน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมยเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงเพิ่ม 9 แห่ง รวมทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงอีก 28 แห่ง วันเดียวกัน นพธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมวศธ) กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตว่า ขณะนี้คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงที่มีนายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการ ศธเป็นประธาน ยังไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร แต่ตนยังไม่ปักใจเชื่อ จึงยังไม่เลิกละความพยายามที่จะให้สืบสวนต่อไป ภายในสัปดาห์นี้ถ้ามีพยานหลักฐานว่ามีมูลความผิด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่เหลือจะถูกย้ายออกจากตำแหน่งก่อน ตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระบบราชการของ คสช ขณะที่ผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการโกง แต่มีส่วนรับผิดชอบทางการเงินการคลังและปล่อยให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ถือว่ามีส่วนบกพร่องทางวินัย จะร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงขึ้นอยู่กับผลการสืบ โดยคณะกรรมการสืบฯ จะสรุปผลการสืบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นก่อนสงกรานต์นี้ เพื่อนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยให้เสร็จสิ้นภายในเดือน เมย นพธีระเกียรติกล่าว ด้านนายอรรถพลกล่าวว่า ในวันที่ 5 เมย คณะกรรมการสืบฯ จะเชิญนางรจนา สินที อดีตข้าราชการระดับ 8 ศธซึ่งออกจากราชการไปแล้วมาให้ปากคำ เพราะพบประเด็นเพิ่มเติมจากการตรวจสอบตั้งแต่ตั้งกองทุน พบปี 2547 มีความผิดปกติ 1 รายการ แต่ปี 2548 ความผิดปกติเริ่มชัดและค่อนข้างเยอะ เพราะมีการโอนเงินเข้าบัญชีของนางรจนาเอง รวมทั้งยังมีการโอนให้นายตำรวจยศ รตต และยังโอนให้วัดและบุคคลที่มีคำนำหน้าว่านาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะผิดวัตถุประสงค์ของกองทุน เฉพาะในปี 2548 มีการทุจริตจำนวนกว่า 29 ล้านบาท ส่วนยอดรวมอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ปี 2547-2561 เป็นเงิน 110,343,227 บาท และมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นทั้งคนเสนอเรื่อง ผ่านเรื่อง อนุมัติ และสุดท้ายคือขั้นตอนการจ่าย ซึ่งนอกจากนางรจนาแล้วก็มี ผอสำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา ฝ่ายการเงินการคลัง รองปลัด ศธ และปลัด ศธ แต่ต้องดูว่าเกี่ยวข้องในฐานะใด และจะพิจารณามูลความผิดตามฐานที่กฎหมายกำหนดว่าใครทุจริต ใครประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่สรุปว่าใครผิดใครถูกจนกว่าข้อมูลจะนิ่ง ผู้ตรวจราชการ ศธระบุ
ลิงค์ที่เป็นมิตรเวลาปัจจุบัน:2021-04-15